[Overview] [Diablo III] Season 35 - Eternal Conflict

         สวัสดีครับ Crucifer คนเดิมกับคอนเทนต์ Diablo เช่นทุกซีซั่นที่ผ่านมา คราวนี้ยังคงเป็นคอนเทนต์ของ Diablo III ที่วนเวียนมาให้เขียนถึงอีกรอบ ทุกคนน่าจะได้เห็นแล้วว่า Team 3 ไม่แคล้วเอาเวลาและทรัพยากรไปลงกับ Diablo IV หมดแล้วแน่นอน (ลงภาค 4 จนภาค 3 เลยกำหนดการปิดซีซั่นยาวเลย) ยังดีที่ทางทีมงานยังกลับมาเหลียวแลและดูเหมือนจะปรับเวลาการเปิดซีซั่นใหม่ระหว่างทั้งสองภาคไม่ให้ประชิดกันมากแล้ว (ทิ้งห่างกันประมาณหนึ่งเดือน) ถือว่าดูดีขึ้นเมื่อเทียบกับที่แล้วมาชอบประชิดจนเลือกไม่ถูกว่าจะเล่นภาคไหนกันเลยทีเดียว พูดพร่ำทำเพลงกันมามากพอแล้ว เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

        สำหรับธีม Eternal Conflict ของ Season 35 มีอะไรน่าสนใจบ้างก็มาดูกันเลย

        สำหรับซีซั่นนี้ก็เหมือน Season 19 - Eternal Conflict ต้นฉบับ ไม่มีอารัมภบทใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเหล่าเนฟาเลมที่ได้รับพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Pandemonium ซึ่งเป็นชื่อภพที่เป็นสนามรบหลักของ "ความขัดแย้งอันเป็นนิรันดร์" (Eternal Conflict) สงครามหลักที่เป็นเบื้องหลังของเรื่องราวในซีรี่ย์ที่ซึ่ง High Heavens และ Burning Hells รบกันไม่มีที่สิ้นสุด ธีมของซีซั่นนี้จึงเป็นการไล่กำจัดศัตรูเพื่อรับพลังเพิ่มขึ้น

        จากนี้ไปคือคุณสมบัติพื้นฐานของ Pandemonium Powers ใน Season 35

  • การเสริมพลังของ Pandemonium สามารถใช้งานได้เฉพาะในซีซั่นธีมของ Eternal Conflict
  • การทำงานของ Pandemonium จะขึ้นอยู่กับการสะสมจำนวนศัตรูที่กำจัด เมื่อำกจัดศัตรูได้ถึงจำนวนที่กำหนดจะมีพลังพิเศษมาช่วยเหลือรวมถึงการเสริมพลังโดยตรง โดยจะได้รับสูงสุด +50% ความเร็วการเคลื่อนที่ และ +100% พลังโจมตี เมื่อสะสมพลังถึง 1,000 ขั้นจะเกิดอีเวนท์พิเศษ
  • การทำงานของ Pandemonium จะมีระยะเวลาคงอยู่ 5 วินาที โดยสามารถยืดระยะเวลาการใช้งานได้ด้วยการโจมตีโดนศัตรู

        จากนี้คือรายการของ Pandemonium Powers แต่ละขั้นที่ได้รับจากการสะสมศัตรูที่กำจัด

  • 15 Kills - ปล่อยไก่ระเบิดออกมาไล่กวดและระเบิดทุกอย่างที่ขวางหน้า
  • 30 Kills - ปล่อย Frost Nova มาแช่แข็งทุกอย่างเป็นวงกว้าง
  • 50 Kills - ปล่อยศพตกลงมาจากฟ้า
  • 100 Kills - ปล่อยพายุหมุนลูกใหญ่จำนวนหลายลูก
  • 150 Kills - ปล่อยคลื่นพลังความมืดสีดำใต้เท้าศัตรู (ท่าเดียวกับที่ Tethrys ใช้)
  • 200 Kills - มีหีบตกลงมาจากฟากฟ้า
  • 300 Kills - วงแหวนไฟที่พุ่งออกมาสร้างความเสียหายต่อทุกสิ่ง (Diablo's Fire Stomp)
  • 400 Kills - ฝนดาวตกจะพุ่งลงมาจากฟากฟ้าสร้างความเสียหายมหาศาล
  • 500 Kills - เรียกฑูตสวรรค์มาสู้เคียงข้างชั่วระยะเวลาหนึ่ง (Enhance Skycutter)
  • 1,000 Kills - อัญเชิญ GLORIOUS BAD ASS THE DARK LORD

        เซอไพรซ์ขั้นสุดท้ายคือเมื่อกำจัดศัตรูครบ 1,000 Kills แล้วจะอัญเชิญ The Dark Lord หรือ Diablo จาก Diablo I ออกมาสู้กับเนฟาเลมนั่นเอง ซึ่งความอันตรายของมันจัดอยู่อันดับต้น ๆ ของเกมเลย ไม่แนะนำให้ Hardcore เจออย่างถึงที่สุดเพราะมันโหดระดับ 1-Hit Kill ได้เลย


        รางวัลประจำซีซั่น ของที่ขาดไม่ได้ยังกลับมาให้ผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้เก็บสะสมเช่นเดิม ทั้ง Cosmetic Rewards และ Haedrig's Gifts ที่มาช่วยเหลือช่วงเปิดซีซั่น

        หลังจบ 4 บทแรกของ Season Journey คุณจะได้รับเซ็ตไอเทมประจำคลาสดังต่อไปนี้

  • Raiment of A Thousand Storms (Monk)
  • Unhallowed Essence (Demon Hunter)
  • Roland's Legacy (Crusader)
  • Tal Rasha's Elements (Wizard)
  • Wrath of the Wastes (Barbarian)
  • Helltooth Harness (Witch Doctor)
  • Bones of Rathma (Necromancer)

        ในบรรดาทั้งหมดนี้ ใช้ง่ายสุดคงไม่พ้น Unhallowed Essence กับ Helltooth Harness แน่นอน ส่วนถ้ามีของเสริม Damage Reduction สักหน่อยก็จะแนะนำ Tal Rasha's Elements กับ Wrath of the Waste เพิ่มเติม เซ็ตที่เหลือจะทำงานได้ดีก็มีเงื่อนไขจุกจิกหน่อยเลยไม่แนะนำช่วงเปิดซีซั่น 

        Cosmetics ดั้งเดิมมีชุดจำแลงเซ็ต Conqueror ที่แจก 2 ส่วนต่อซีซั่นกับกรอบภาพประจำตัวและสัตว์เลี้ยงจากซีซั่นเก่า ครั้งนี้เป็นรางวัลเก่าจาก Season 11 

  • รูปลักษณ์จำแลง Conqueror's Legguards (ขา) และ Conqueror's Sabatons (เท้า) 
  • Treasure Goblin Portrait Frame Set  หลังจากจบ Season Journey 4 บทแรก เป็นต้นไป
  • สัตว์เลี้ยง Emerald Dragon หลังจากจบ Season Journey 4 บทแรก

        ส่วนรางวัลขั้นสูงสุดจากการจบระดับ Guardian ของ Season Journey เป็นรางวัลเก่าจาก Season 23 กลับมาใหม่ มีทั้งหมด 2 อย่างนั่นคือ 

  • Chopping Block Portrait Frame กรอบประจำตัวที่มาในธีมจอมเชือดที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
  • Lacuni Cub Pet สัตว์เลี้ยงลูกลาคูนิ ว่าแต่ลูกลาคูนิหน้าตาแบบนี้เหรอ?


        Season 34 เราได้ทรมานกับรางวัลพิชิตชัย (Conquests) กันมาแล้ว ทั้งรางวัลพิชิตชัยที่ยากและใช้เวลานาน ใน Season 35 จะเบาลงหน่อยเพราะส่วนใหญ่จัดว่าง่าย ทั้ง Avarice & Avaritia ที่ขยันทำ Bounties หน่อยก็ทำได้ Speed Demon & Need for Speed ที่หาริฟท์ที่ใช่กับสายที่เน้นกำจัดศัตรูเร็ว Boss Mode & Worlds Apart ที่ยังไงก็ง่ายกว่าการวิ่งแคมเปญแถมมี Bounty ประเภทบอสช่วยได้ แถมมีรางวัลพิชิตชัยที่เป็นทางผ่านอย่าง Divinity & Lionhearted เลยง่ายกว่าเดิม รางวัลพิชิตชัยที่ใช้เวลามีแค่ Masters of the Universe & Masters of Sets เท่านั้นที่ต้องใช้ถึง 2 ตัวละครอย่างแน่นอน

  • Avarice (Seasonal) & Avaritia (Hardcore Seasonal) 
    • เก็บทองต่อเนื่องให้ถึง 50,000,000 ณ ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่ The Vault และ The Inner Sanctum
  • Speed Demon (Seasonal) & Need For Speed (Hardcore Seasonal) 
    • พิชิต Nephalem Rift ณ เลเวลสูงสุดบนระดับความยาก Torment X หรือสูงกว่า ในเวลา 2 นาที (นับถึงปิดริฟท์)
  • Boss Mode (Seasonal) & Worlds Apart (Hardcore Seasonal) 
    • กำจัดบอสที่กำหนดขณะเลเวลสูงสุด (เลเวลพื้นฐาน 70) บนระดับความยาก Torment X หรือสูงกว่า ในเวลา 20 นาทีนับตั้งแต่เริ่มเกมรอบนั้น
  • Divinity (Seasonal) & Lionhearted (Hardcore Seasonal) 
    • พิชิต Greater Rift ระดับ 75 เดี่ยว
  • Masters of the Universe (Seasonal) & Masters of Sets (Hardcore Seasonal)
    • พิชิต Set Dungeons ระดับเชี่ยวชาญ 8 แห่ง


        สำหรับซีซั่นนี้น่าจะถือว่าไม่ลำบากหรือสบายจนเกินไป เพราะแม้จะไม่มี Seasonal Items ที่ Overpower จัด ๆ เหมือนที่ผ่านมาแต่ Seasonal Powers ก็เสริมให้พอสมควรแถมมีให้ตั้งแต่เริ่มแรก Conquests ก็ไม่ได้ยาก เพราะอย่างนั้นเป็นซีซั่นที่จบไวอย่างแน่นอน ติดแค่ว่า Cosmetic Rewards อาจจะไม่ได้ดีอะไรสักเท่าไหร่ เรียกว่าอยู่ลำดับท้าย ๆ ที่อยากได้เลยมากกว่า ถ้าอยากเก็บให้ครบก็เล่น แต่ถ้าไม่ชอบและไม่อยากเล่นซีซั่นธีมนี้ก็ปล่อยผ่านไปได้เลย

        สำหรับ Season 35 - Eternal Conflict มีกำหนดการเริ่มซีซั่นดังต่อไปนี้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม