[Overview] [Diablo III] Season 25 - The Lords of Hell

        ใครจะไปรู้ละว่าเราจะได้ฉลองครบรอบ 25 ปีซีรี่ย์ Diablo ใน Season 25 ของ Diablo III!

        Crucifer เองครับ ในที่สุดก็เขียน Overview สรุปแพทช์ล่าสุดให้เช่นเคย แน่นอนว่าซีซั่นนี้มีความพิเศษตามที่เกริ่นไว้เพราะซีซั่นนี้คาบเกี่ยวกับวันครบรอบ 25 ปีซีรี่ย์ Diablo ซึ่งวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1996 คือวันที่ Diablo I ได้ออกสู่สายตาชาวโลกและก่อกำเนิดเกมแนว Isometric Action-RPG Hack & Slash นั่นเอง ธีมของซีซั่นในครั้งนี้จึงเกี่ยวข้องกับ Diablo และพื้นหลังเรื่องราวของซีรี่ย์ทั้งในส่วนของ Season Exclusive Content และ Season Rewards ที่บอกได้ว่า "ของมันต้องมี"

        มาดูกันดีกว่าว่าในแพทช์นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้าง


        แต่ก่อนที่จะไปในส่วนซีซั่นก็มากันที่ไอเทมก่อน ในแพทช์นี้ยังคงมีการปรับเปลี่ยนไอเทมเช่นเดิม แม้คลาสส่วนใหญ่จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่มีอยู่ 2 คลาสแน่นอนเพราะเซ็ตไอเทมที่ถูกออกแบบการใช้งานใหม่ถึง 2 เซ็ตด้วยกัน นั่นคือ Embodiment of the Marauder ของ Demon Hunter กับ Spirit of Arachyr ของ Witch Doctor นั่นเอง มีการเปลี่ยนความสามารถของเซ็ตที่ใช้หรือเพิ่มความสามารถให้แก่ไอเทมบางชิ้นเพื่อเจาะจงทักษะอย่างชัดเจน



[Embodiment of the Marauder] 
  • (2) ชิ้น
    • Companion ที่เรียกใช้สามารถเรียก Companions จากทุกรูนออกมา
  • (4) ชิ้น 
    • Sentry สามารถยิงทักษะที่ใช้ Hatred ได้ทั้งยิงตามคุณสั่งการเช่นเดียวกับยิงอันโตมัติแบบไม่ต้องสั่งการ
  • (6) ชิ้น 
    • Primary Skills, Elemental Arrow, Chakram, Impale, Multishot, Cluster Arrow, Companions, Vengeance และ Sentries ทุกแท่นที่ทำงาน พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 12,000% ต่อจำนวน Sentry ที่ทำงานอยู่
        การออกแบบใหม่ของ Embodiment of the Marauder นำความสามารถเก่าอย่างการยิงอัตโนมัติกลับมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีเลิศเหมือนของเก่า เพราะระยะทำการยิงอัตโนมัติของ Sentry ถือว่าระยะสั้นและช้ากว่าของดั้งเดิมมาก รูปแบบการเล่นจึงมีเรื่องการตั้ง Sentry เพื่อช่วยในการยิงเพิ่มเติม

        อีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือความพยายามดัน Cluster Arrow แล้วนำไปผูกกับ Embodiment of the Marauder อย่างชัดเจน  เพราะไอเทมสนับสนุนที่ถูกปรับใหม่อย่าง Bombardier's Rucksack มีการเพิ่มพลังโจมตี Cluster Arrow เข้ามาอีกด้วย ด้วยความที่ความสามารถพื้นฐานของ Bombardier's Rucksack มีเพิ่มพลังโจมตีของ Sentry โดยตรงจึงล่อตาล่อใจให้ผู้เล่นหันมาจับ Cluster Arrow อยู่พอสมควร 

        ปกติแล้วการเล่นสายอื่นที่ไม่ใช่ Cluster Arrow กับ Embodiment of the Marauder จะเป็นการใส่ Bombardier's Rucksack กับตัวละครและใส่กระบอกลูกธนูที่มีความสามารถเพิ่มพลังโจมตีกับทักษะที่ใช้ลงใน Kanai's Cube ไม่ว่าจะ Holy Point Shot ของ Impale หรือ Dead Man's Legacy ของ Multishot แต่พอมีทักษะ Cluster Arrow มาผูก Bombardier's Rucksack ด้วยแล้ว กลายเป็นว่า Kanai's Cube จะมีช่อง Weapon Power ว่างทันที สามารถเลือกของที่ใส่มากกว่าทักษะอื่น เพราะอย่างนี้ถึงเป็นการผูก Embodiment of the Marauder ไว้กับ Cluster Arrow กลาย ๆ นั่นเอง
  • Bombardier's Rucksack: 
    • สามารถวาง Sentry ได้เพิ่มขึ้น 2 แท่น
    • เพิ่มพลังโจมตีของ Cluster Arrow 150-200%



[Spirit of Arachyr]
  • (2) ชิ้น
    • เรียก Spider Queen แบบถาวรออกมาซึ่งจะมีใยพร้อมเชื้อพาหะเชื่อมต่อกับคุณ ศัตรูที่แตะใยนี้จะติดเชื้อ
    • หาก Corpse Spider โจมตีใส่ศัตรูติดเชื้อตัวใดตัวหนึ่งศัตรูติดเชื้อทั้งหมดในเวลานั้นจะรับความเสียหายเทียบเท่ากับศัตรูติดเชื้อที่ Corpse Spider โจมตีโดน
    • Spider Queen เคลื่อนไหวตามจุดที่ Corpse Spiders ตก
    • Corpse Spiders ที่เรียกออกมาจะมีพลังชีวิตและตายได้ 
  • (4) ชิ้น
    • Spider Queen จะปล่อยใยลงพื้น ระยะเวลาของใยอยู่นาน 15 วินาที และสามารถทำให้ศัตรูเชื่องช้าลงได้
    • ศัตรูติดเชื้อที่อยู่บนใยจะคงสถานะติดเชื้อไว้
    • ได้รับบัฟลดความเสียหาย 75% ขณะอยู่บนใยและ 4 วินาทีหลังออกจากใย
  • (6) ชิ้น
    • พลังโจมตีของทักษะที่ใช้สิ่งมีชีวิต ได้แก่ Corpse Spiders, Plague of Toads, Firebats, Locust Swarm, Hex และ Piranhas เพิ่มขึ้น 25,000%
        สำหรับ Spirit of Arachyr เรียกว่าออกแบบการใช้งานใหม่ซะเกือบหมดเลย ทั้งทักษะหลักและวิธีการลดความเสียหายที่ได้รับ ทำให้เซ็ตนี้ไปผูกกับทักษะ Corpse Spiders อย่างเดียว (แม้ว่าโบนัสความสามารถ 6 ชิ้นจะมีทักษะอื่นก็ตามทีเถอะ) อย่างไรก็ตามด้วยเงื่อนไขการรับบัฟลดความเสียหายที่จัดว่ายุ่งยากทำให้เซ็ตนี้ไม่เหมาะที่จะเล่นแบบเดี่ยว แต่ถ้าเล่นโดยมีผู้เล่นคนอื่นช่วยละก็มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยเพราะเซ็ตนี้สามารถสร้างความเสียหายได้มากทีเดียว ทำให้เหมาะสำหรับการเล่นกันเป็นกลุ่มมากกว่า
  • Spider Queen's Grasp
    • Corpse Spiders พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 600-800% 
    • เมื่อ Corpse Spiders ตกจุดใด จะปล่อยใยที่สามารถทำให้ศัตรูเชื่องช้าลง 80% 
  • Brood of Araneae
    • Corpse Spiders สามารถสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้น 75-100% 
    • และหาก Corpse Spider แต่ละตัวกัด จะทำให้ศัตรูรับความเสียหายเพิ่มขึ้นจาก Corpse Spiders 1% ต่อการกัด เป็นเวลา 5 วินาที

        นั่นคือในส่วนของเซ็ตที่ถูกออกแบบใหม่เป็นหลัก ความจริงแล้วยังมีเซ็ตและไอเทมอื่นถูกปรับเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย Demon Hunter กับ Witch Doctor มีไอเทมอื่นเพิ่มเติมอยู่แล้ว ที่เหลือคลาสอื่นโดนปรับไอเทมด้วยก็จะมี Barbarian, Necromancer และที่หนักสุดคือ Wizard ในที่สุดก็โดนเนิร์ฟ Firebird's Finery แล้ว เรียกว่าต้องเปลี่ยนวิธีการเล่นกันบ้างละ
  • [Firebird's Finery]
    • (6) เพิ่มพลังโจมตี 5,000% ระหว่างที่ศัตรูยังคงถูกเผาไหม้ โจมตีศัตรูที่ถูกเผาไหม้อยู่ด้วยเวทมนตร์ธาตุไฟที่ไม่สามารถร่ายต่อเนื่องได้ จะทวีคูณความเสียหายจากการเผาไหม้ตามบัฟ Combustion ที่สะสม สัตว์เลี้ยงจะไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ได้
        เรียกว่าโดนเนิร์ฟเพราะตัดพลังโจมตีแก่สัตว์เลี้ยง ทำให้ Mirror Image ไม่เหลือความสำคัญอีก ทักษะเวทมนตร์ธาตุไฟที่ไม่ร่ายต่อเนื่องเลยไปลงอยู่กับ Explosive Blast - Chain Reaction ที่เป็นที่นิยมเมื่อครั้งอดีตแทนนั่นเอง แม้พลังโจมตีจะหายไปพอสมควร แต่ยังจัดว่าใช้งานได้ดีแม้ไม่ใช่ God Tier 
  • [The Shadow's Mantle]
    • (6) Impale พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 75,000% กับศัตรูตนแรกที่โดน ส่วนศัตรูที่โดนถัดมาหลังจากนั้นจะรับพลังโจมตี 25,000%
        ในที่สุดเหมือนว่า The Shadow's Mantle จะได้แสงสว่างเพิ่มขึ้นบ้างอีกครั้งเพราะการให้ Impale แรงขึ้นไม่เฉพาะกับเป้าหมายแรกที่โดนทำให้การพิชิต Greater Rifts ง่ายขึ้น แม้จะไม่ได้ขึ้นไปเทียบกับ God Tier อีกแล้ว แต่ทำให้เซ็ตนี้เป็นตัวเลือกที่กลับมาน่าจับอีกครั้ง
  • [Bones of Rathma]
    • (6) สมุนแบบถาวรที่ยังคงทำงานอยู่จะเพิ่มพลังโจมตีให้ทักษะ Army of the Dead 1,750% ต่อตัว เพิ่มสูงสุดได้ถึง 31,500%
        หลังจากที่ออกแบบใหม่ไป ครั้งนี้เหมือนพยายามจะดัน Bones of Rathma ให้ขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มพลังโจมตีอย่างมหาศาล แม้จะใช้งานยากอยู่ แต่การที่เพิ่มพลังโจมตีมาขนาดนี้ อาจทำให้น่าลองจับมาเล่นดูบ้างก็ได้

        ที่เหลือจากตรงนี้เป็นไอเทมยิบย่อยที่มีการเพิ่มพลัง อย่าง Remorseless ของ Barbarian หรือ Depth Diggers ที่เป็นที่รักของสาย Primary Skills (เอาจริง ๆ ก็แค่ปรับให้ Minimum Multiplier ของมันสูงขึ้นแค่นั้นแหละ) กับการเปลี่ยนไอเทมบางชิ้นของ Witch Doctor ที่นอกจากจะใช้กับ Spirit of Arachyr ยังนำไปใช้กับเซ็ตไอเทมอื่นได้อีกด้วย
  • Depth Diggers:
    • พลังโจมตีของ Primary Skills เพิ่มขึ้น 80-100%
  • Remorseless:
    • เมื่อทั้ง Wrath of the Berserker และ Call of the Ancients ทำงาน พลังโจมตีของ Hammer of the Ancients เพิ่มขึ้น 600-800%
  • Shukrani's Triumph:
    • หลังระยะเวลาการใช้งานปกติของ Spirit Walk หมดลง ทักษะจะยังคงทำงานจนกว่าคุณจะโจมตี 3 ครั้งหรือมีศัตรูระดับอีลิธเข้ามาในระยะ 20 yards ของคุณ 
    • พลังโจมตีขณะอยู่ใน Spirit Realm เพิ่มขึ้น 75-100%
  • Lakumba's Ornament:
    • ลดความเสียหายที่ได้รับลง 60% ตราบที่มี Soul Harvest สะสมขั้นต่ำ (1-3) ขั้น
    • ลดความเสียหายที่ได้รับเพิ่มขึ้น 2% ต่อพลัง Soul Harvest ที่สะสม


        เมื่อคราว Black Soulstone ถูกทำลาย เศษเสี้ยวของศิลาซึ่งผนึกจ้าวอสูรทั้งหลายไว้ภายในยังคงดำรงอยู่ใน Sanctuary เศษเสี้ยววิญญาณเหล่านี้ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่-พลังซึ่งครั้งหนึ่งเป็นของเหล่า Prime Evils และ Lesser Evils เนฟาเลมจอมเจ้าเล่ห์ผู้ออกควานหาและถือครองศิลาวิญญาณจงหมั่นระแวดระวังให้ดี พลังอำนาจของมันช่างดึงดูดใจ และเจตจำนงอันดีงามจะปูทางไปสู่นรกมอดไหม้ได้


        ใน Season 25 นี้ จะหยิบยกเรื่องราวฉากจบ Reaper of Souls มาเล่าต่อในรูปแบบซีซั่นนั่นเอง ใน Reaper of Souls การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างเนฟาเลมและ Malthael เขาได้งัดไพ่ใบสุดท้ายคือ Black Soulstone มาทำลายและดูดซับพลังเพื่อนำมาใช้ต่อกรกับเนฟาเลม แต่เมื่อพ่ายแพ้ให้แก่เนฟาเลม วิญญาณจ้าวอสูรทั้งปวงได้กระจายกันออกไป โดยปกติตามเรื่องราวของซีรี่ย์นี้ จ้าวอสูรจะเตรียมการกลับไปเกิดใหม่อีกครั้ง แต่ซีซั่นนี้หยิบฉากจบ Reaper of Souls มาเล่าใหม่โดยให้วิญญาณเหล่าเจ้าอสูรยังคงอยู่ใน Sanctuary ในผนึกของเศษเสี้ยว Black Soulstone เนฟาเลมจึงนำพลังนั้นมาใช้ประโยชน์กับตนเอง (เอาจริง ๆ พอเขียนถึงแบบนี้ ดันนึกถึงฉากจบ Diablo I เข้าพอดี)

        ซีซั่นนี้จึงขอแนะนำ "Soul Shards" เศษเสี้ยววิญญาณของจ้าวอสูรที่ยังคงดำรงอยู่ใน Sanctuary มาให้รู้จักกัน อย่างที่ได้รู้กันจากอารัมภบทซีซั่น Soul Shards เหล่านี้ผนึกพลังของ Great Evils ปรปักษ์ของเหล่าเนฟาเลมทั้งปวง


        Great Evils คือชื่อที่เรียกจ้าวอสูรทั้ง 7 แห่งนรกมอดไหม้ (The Burning Hell) ที่ทุกคนรู้จักกันดี อันประกอบไปด้วย 3 Prime Evils และ 4 Lesser Evils และแน่นอน Soul Shards ของซีซั่นนี้ก็อิงมาจากจ้าวอสูรทั้ง 7 นั่นเอง
  • Prime Evils
    • Mephisto - Shard of Hatred 
    • Diablo - Sliver of Terror
    • Baal - Fragment of Destruction
  • Lesser Evils
    • Andariel - Essence of Anguish 
    • Duriel - Remnant of Pain 
    • Belial - Dregs of Lies 
    • Azmodan - Stain of Sin 
        ผู้ใดครอบครองจะได้พลังอันยิ่งใหญ่และมีผลกับรูปแบบการเล่น ยิ่งพัฒนาไประดับสูงขึ้นเท่าไหร่ยิ่งมีผลกับรูปแบบการเล่นเยอะมาก หากใช้ Soul Shard ที่เหมาะสมกับตนเอง จะกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สามารถฝ่าฟันขึ้นไประดับสูงอย่างแท้จริง

        จากนี้ไปคือคุณสมบัติของ Soul Shards ใน Season 25 มีอะไรบ้างมาดูกัน


    ความรู้พื้นฐานของ Soul Shards
  • Soul Shards จัดว่าเป็น Socket Items ของซีซั่นนี้ 
  • Soul Shards จะแบ่งเป็น 2 ชุด ได้แก่ Prime Evils (ศีรษะ) และ Lesser Evils (อาวุธ)
  • Soul Shards สามารถตกจากที่ไหนก็ได้
  • แต่ Soul Shards มีโอกาสตกมากขึ้นเมื่อฆ่าศัตรูระดับบอสสำเร็จ
  • เมื่อ Soul Shards ตก จะมีเสาแสงสีแดงเข้มพร้อมวิญญาณวนเวียน มีไอคอนเฉพาะเป็นของตนเอง
  • การสวมใส่ สามารถใส่ Prime Evil 1 ชิ้น และ Lesser Evil 1 ชิ้นพร้อมกันได้เท่านั้น
  • ไม่สามารถแลกเปลี่ยน Soul Shards ระหว่างผู้เล่นได้
  • หากนำ Soul Shard ไปทุบทิ้งจะได้ 3 Imperial Gems และมีโอกาสเล็กน้อยที่จะได้ 1 Flawless Royal Gem มาแทน
  • Soul Shards จะตกเฉพาะการเล่น Season 25 - The Lords of Hell เท่านั้น จบซีซั่นเมื่อไหร่ Soul Shards ทั้งหมดจะถูกลบทิ้ง


    เกี่ยวกับการอัพเกรด Soul Shards
  • Soul Shards สามารถอัพเกรดได้ด้วยไอเทมที่ชื่อ Hellforge Ember
  • Hellforge Ember สามารถตกจากที่ไหนก็ได้เช่นเดียวกับ Soul Shards
  • Soul Shard แต่ละอันสามารถอัพเกรดได้ 3 ระดับ
  • การอัพเกรดขั้นแรกจะล็อคความสามารถตายตัวและสุ่มค่าพลัง
  • การอัพเกรดขั้นที่สองจะสุ่มความสามารถตามหมวดหมู่ที่ล็อคไว้ 
  • การอัพเกรดขั้นสุดท้ายของ Soul Shards ทุกชิ้นจะสุ่ม 1 ใน 3 พลังเฉพาะของมัน
  • ความสามารถขั้นสุดท้ายจะสอดคล้องกับ Base Power ของ Soul Shards ชิ้นนั้น
  • สามารถนำไปใช้เข้าสูตร Caldesann's Despair โดยค่าพลังที่ได้รับขึ้นอยู่กับระดับการอัพเกรดของ Soul Shards ที่ใช้กับสูตร
    • No Rank = 50
    • Rank 1 = 75
    • Rank 2 = 100
    • Rank 3 = 125



        ส่วนนี้คือความสามารถที่ได้หลังอัพเกรด ซึ่งจะแยกตามตำแหน่งว่าเป็น Soul Shards ส่วนไหน อย่างที่บอก ขั้นแรกจะล็อคตายตัวว่าได้อะไรบ้างแล้วสุ่มเลขพลังที่ได้ ส่วนขั้นสองจะเป็นการสุ่มระหว่างสองหมวดซึ่งกว้างพอสมควร

    Prime Evils Soul Shards (Helm) 
  • Rank 1
    • % Life (เพิ่มขีดจำกัดพลังชีวิต)
    • Cooldown Reduction (ลดระยะเวลาใช้ทักษะใหม่)
    • Cost Reduction (ลดค่าพลังงานที่ใช้ของทักษะ)
    • % Extra Gold (เพิ่มทองที่ได้รับ) 
    • % Experience (เพิ่มค่าประสบการณ์ที่ได้รับ)
  • Rank 2
    • Core Stat (ค่าพลังหลัก) หรือ Defensive Property (ค่าพลังสายป้องกัน)
    Lesser Evils Soul Shards (Weapon)
  • Rank 1
    • + Damage (เพิ่มพลังโจมตีอาวุธ)
    • Critical Hit Damage % (เพิ่มพลังโจมตีคริติคอล)
    • Damage against elites % (เพิ่มพลังโจมตีอีลิธ)
    • + Life per Hit (ฟื้นพลังชีวิตเมื่อโจมตีโดนศัตรู)
    • + Thorns Damage (สะท้อนความเสียหาย)
  • Rank 2
    • % Element Damage (เพิ่มพลังโจมตีธาตุ) หรือ Offensive Property (ค่าพลังสายโจมตี)
        และนับจากนี้ไปจะเป็นความสามารถพื้นฐานและความสามารถอัพเกรดขั้นสุดท้ายของ Soul Shards ทุกชิ้นนั่นเอง สามารถดูจากในรูปได้เลย








        ทั้งหมดนั่นคือข้อมูลของ Soul Shards ที่ทุกคนจะได้เล่นกันใน Season 25 - The Lords of Hell การหา Soul Shards ที่เหมาะสมกับตนเองอาจต้องใช้เวลาเพราะ Soul Shards ที่ดีที่สุดต้องมีความสามารถจากการอัพเกรดขั้นสองและขั้นสุดท้ายที่สอดคล้องกับสายที่เล่นจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อได้มาแล้วมันคุ้มค่ากับการเสียเวลาหาจริง ๆ



        ของรางวัลประจำ Season 25 ขาดไม่ได้จริง ๆ ทั้ง Haedrig's Gift หลังจากจบ 4 บทแรกของ Season Journey และที่พิเศษสุดคือ Cosmetic Rewards โดยเฉพาะ Guardian Rewards รางวัลครบรอบ 25 ปีของซีรี่ย์ Diablo ที่เป็นที่สุดในระดับ "ของมันต้องมี"

    หลังจบ 4 บทแรกของ Season Journey คุณจะได้รับเซ็ตไอเทมประจำคลาสดังต่อไปนี้

  • Monkey King's Garb (Monk)
  • The Shadow's Mantle (Demon Hunter)
  • Might of the Earth (Barbarian)
  • Firebird's Finery (Wizard) 
  • Thorns of the Invoker (Crusader)
  • Raiment of the Jade Harvester (Witch Doctor) 
  • Grace of Inarius (Necromancer)
        Cosmetics ดั้งเดิมจะมีชุดจำแลงเซ็ต Conqueror ซึ่งแน่นอนว่าแจก 2 ส่วนเช่นเดิมกับกรอบภาพประจำตัวและสัตว์เลี้ยงจาก Season 13

  • รูปลักษณ์จำแลง Conqueror's Shako (ศีรษะ) และ Conqueror's Pauldrons (ไหล่) 
  • Imperius Portrait Frame Set  หลังจากจบ Season Journey 4 บทแรก เป็นต้นไป
  • สัตว์เลี้ยง Blaine's Bear หลังจากจบ Season Journey 4 บทแรก
    ส่วนรางวัลขั้นสูงสุดจากการจบระดับ Guardian ของ Season Journey (ซึ่งบอกเลยว่ารางวัลของ Season 25 นี้ จัดว่า "ของมันต้องมี") จะมีทั้งหมด 2 อย่างนั่นคือ 

  • The Pane of Tristram Portrait Frame กรอบประจำตัวที่มาในธีมของ Diablo I ซึ่งตอนเขียน Overview ของ Season 24 เคยเขียนไว้ว่าอยากได้กรอบประจำตัวจาก Diablo I มาเพื่อให้ครบ 3 ภาคหลัก ซีซั่นนี้ที่ฉลองครบรอบ 25 ปี Diablo I จึงมีกรอบมาให้สมใจอยาก 
  • The Dark Lordling Pet สัตว์เลี้ยงใหม่ที่มาควบคู่กัน Diablo ที่ออกแบบราวกับหลุดมาจากกล่อง Diablo I เป็น 3D ให้มีตัวตนจริง ๆ เหมือนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว (เหมือนกว่าของ BlizzCon 2016 ตอนครบรอบ 20 ปีของซีรี่ย์ Diablo ซะอีก) 
    บอกได้เพียงว่าของรางวัล Season 25 คือการฉลองครบรอบ 25 ปี Diablo ที่ดีที่สุดเท่าที่ Diablo III จะทำได้แล้วละ "ของมันต้องมี" จริง ๆ


        Season 25 จัดว่าง่ายหากแค่ทำ Conquests เพื่อให้จบ Season Journey เท่านั้น เพราะมีคู่ที่เป็นทางผ่านหรือคู่ที่ไม่ได้ใช้ความยากอะไรมากมายในการผ่าน ไม่ว่าจะเป็น Divinity & LionheartedThe Thrill & Super Human หรือ Curses! & Stars Align แต่ถ้าใครเป็นสาย Achievements Hunter ละก็จะหนักใจขึ้นทันที เพราะมีทั้ง Masters of the Universe & Masters of Sets จำเป็นต้องสร้างคลาสที่ 2 เพื่อเก็บให้ครบ และยังมี Conquests โหดที่สุดตลอดกาลอย่าง Sprinter & Speed Racer ที่นับคนจะทำได้

  • Sprinter (Seasonal) & Speed Racer (Hardcore Seasonal) 
    • จบ Campaign ทั้งหมดของ Diablo III (รวมถึง Reaper of Souls) ขณะเลเวลสูงสุด (เลเวลพื้นฐาน 70) ภายในเวลา 1 ชั่วโมง
  • Divinity (Seasonal) & Lionhearted (Hardcore Seasonal) 
    • พิชิต Greater Rift ระดับ 75 เดี่ยว
  • The Thrill (Seasonal) & Super Human (Hardcore Seasonal) 
    • พิชิต Greater Rift ระดับ 45 เดี่ยว โดยไม่ใส่เซ็ตไอเทมใด ๆ ทั้งสิ้น
  • Curses! (Seasonal) & Stars Align (Hardcore Seasonal)
    • กำจัดศัตรู 350 ตนหรือมากกว่าในอีเวนท์ Cursed Chest อีเวนท์เดียว ขณะเลเวลสูงสุด (เลเวลพื้นฐาน 70) บนระดับความยาก Torment X หรือสูงกว่า
  • Masters of the Universe (Seasonal) & Masters of Sets (Hardcore Seasonal)
    • พิชิต Set Dungeons ระดับเชี่ยวชาญ 8 แห่ง


        จาก Ethereal Memory สานต่อมา The Lords of Hell นับว่า Blizzard เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำอย่างไรแฟนซีรี่ย์ถึงหันกลับมามอง Diablo III ด้วยการปล่อย Season Exclusive Contents ได้อย่างต่อเนื่องถือเป็นสัญญาณที่ดีและดูเหมือน Blizzard จะเล่นคอนเทนต์แบบนี้ไปอีกยาวนานเลย

        การที่ซีรี่ย์ครบรอบ 25 ปี และซีซั่นนี้เป็น Season 25 ของ Diablo III มันเลยมีความพิเศษราวกับ Blizzard จัดหนักจัดเต็มในซีซั่นนี้ (แน่นอน เพราะ Diablo II: Resurrected ยังไม่พร้อมเปิด Ladder และ Diablo Immortal กับ Diablo IV ยังไม่เปิดให้เล่น) ซึ่งคอนเทนต์กับรางวัลถือว่าคุ้มค่าให้เสียเวลาอยู่

    สำหรับกำหนดการมาของ Season 25 - The Lords of Hell เป็นไปตามนี้ครับ
  • The Americas*: วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2021 เวลา 08:00 น.
  • Europe*: วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2021 เวลา 23:00 น.
  • Asia: วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2021 เวลา 15:00 น.
    เวลาทั้งหมดปรับโซนเวลาเป็นเวลาตามพื้นที่ประเทศไทยแล้ว
    สำหรับเครื่องคอนโซลในประเทศไทยจะถูกจัดและยึดเวลาตาม The Americas 

    * เวลาอาจมีการคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ขึ้นกับโซนเวลาแต่ละพื้นที่ 
       โซนเวลาที่ใช้คือ PT (The Americas) และ CET (Europe) ซึ่งปรับตามพื้นที่จริงในขณะนี้ 


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม