[Overview] [Diablo III] Season 26 - The Fall of the Nephalem

                Crucifer เองครับ กลับมาอีกครั้งกับการ Overview สรุปแพทช์ล่าสุดให้เช่นเคย นี่น่าจะถือว่าผ่านช่วงขายของหนักไปแล้ว เพราะตั้งแต่ Season 24 - Ethereal Memory จนถึง Season 25 The Lords of Hell เป็นช่วงโปรโมตทั้ง Diablo II: Resurrected และฉลอง 25 ปีของซีรี่ย์ Diablo นี่จึงเป็นซีซั่นแรกที่สภาวะทุกอย่างกลับมาปกติ คราวนี้การมาของแพทช์ 2.7.3 และ Season 26 - The Fall of the Nephalem จึงมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและหนักไปทางการปรับสมดุล แต่ถ้าจะมีอะไรที่ชวนประหลาดใจ ก็คงไม่แคล้วเป็น Echoing Nightmare ที่ใจหนึ่งก็ว้าว อีกใจหนึ่งก็อืม... 

        ส่วนสาเหตุจะเป็นอะไร ทำไมว้าวจึงต่อด้วยอืม มาค้นหาคำตอบกันครับ



        ก่อนอื่นเลยมาเริ่มที่ไอเทมกันก่อน การเปลี่ยนความสามารถเซ็ตยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และครั้งนี้เซ็ตไอเทมที่ถูกออกแบบความสามารถใหม่ได้แก่ The Legacy of Raekor ของ Barbarian พร้อมทั้งเพิ่มพลังแก่ไอเทมที่สนับสนุนเซ็ตนี้



[The Legacy of Raekor] 
  • (2) ชิ้น
    • Furious Charge สามารถคืนค่าใช้งานได้เมื่อโจมตีโดนศัตรูแค่ตนเดียวเท่านั้น
  • (4) ชิ้น 
    • Furious Charge ได้รับเอฟเฟคของทุกรูน
    • Furious Charge เพิ่มพลังโจมตี 1,000%
    • หากพลังชีวิตหายไป ทุก 1% ของพลังชีวิตที่หายไปจะเพิ่มพลังโจมตีของ Ancient Spear 2%
  • (6) ชิ้น 
    • เมื่อโจมตีโดนศัตรูด้วย Furious Charge หรือ Weapon Throw จะเพิ่มพลังโจมตีของ Ancient Spear ครั้งต่อไป 5,500% สามารถสะสมพลังโจมตีได้ 
    • การปา Ancient Spear แต่ละครั้งสามารถใช้พลังสะสมได้สูงสุดถึง 5 ขั้น
    • การโจมตีด้วย Ancient Spear จะแตกแขนงออกหลายทางจากจุดที่โจมตีโดน
        การออกแบบใหม่ของ The Legacy of Raekor อาจจะมีข้อที่ลดความหลากหลายลงไปมาก เพราะจากที่เดิมความสามารถโบนัส (6) ชิ้น จะเพิ่มพลังโจมตีของ Fury Spender (ทักษะใดก็ได้ที่ใช้ Fury) แต่กลายเป็นว่าไปผูกกับ Ancient Spear อย่างเดียวเลย นอกเหนือจากนั้นเหมือนจะผูกแค่กับรูน Boulder Toss ด้วยซ้ำ แต่นับได้ว่าความสามารถใหม่นี้ก็ไปสุดทางของมัน เพราะสิ่งที่เพิ่มมาคือ มีการเพิ่มทักษะที่ใช้สะสมพลังโจมตีอย่าง Weapon Throw และเพิ่มการแตกตัวของ Ancient Spear ใส่หลายเป้าหมายพร้อมกัน ทำให้เซ็ตนี้มีความยืดหยุ่นขึ้นมาเล็กน้อยในแง่วิธีการเล่น

        และด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี่เองจึงมีการเพิ่มพลังไอเทมที่เกี่ยวข้องกับ Weapon Throw และ Ancient Spear - Boulder Toss ถึง 3 ชิ้นด้วยกัน ได้แก่ Arreat's Law, The Three Hundredth Spear และ Skular's Salvation
  • Arreat's Law: 
    • เพิ่มพลังโจมตี Weapon Throw และ Ancient Spear 150-200%
    • Weapon Throw สามารถเพิ่ม Fury ได้สูงสุดถึง 50 ขึ้นกับระยะทางศัตรูที่โดน และ Fury จาก Weapon Throw สามารถเก็บเกินขีดจำกัดได้สูงสุดถึง 200 
    • Ancient Spear สามารถคืนค่า Fury ได้สูงสุดถึง 50 ขึ้นกับระยะทางศัตรูที่โดนและรีเซ็ตขีดจำกัด Fury ให้กลับมาเท่าเดิมที่มี
  • The Three Hundredth Spear:
    • เพิ่มพลังโจมตี Weapon Throw และ Ancient Spear 150-200%
    • เพิ่มความเร็วในการโจมตีด้วย Weapon Throw 200%
  • Skula's Salvation:
    • เพิ่มพลังโจมตีของ Ancient Spear 150-200%
    • หาก Ancient Spear - Boulder Toss โดนศัตรู 5 ตนหรือต่ำกว่าจะเพิ่มพลังโจมตีอีก 100%
            ส่วนที่เหลือถือว่าเป็นการปรับสมดุลเพียงเล็กน้อย (แต่ใหญ่หลวงสำหรับหลายคน)

    [Thorns of the Invokers]
    • (6) ชิ้น
      • ความเร็วในการโจมตีของ Punish และ Slash เพิ่มขึ้น 100% และเพิ่มพลังโจมตี 67,500%
    [Norvald's Fervor] 
    • (2) ชิ้น
      • เพิ่มพลังโจมตี 200% ระหว่างใช้ Steed Charge และ 5 วินาทีหลังใช้งาน 

            จุดสำคัญของ Thornsader มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ Thorns of the Invoker เอา (เพิ่มพลังโจมตี 67,500%) "ครั้งแรกที่โจมตีโดน" ออกไป หมายความว่าต่อจากนี้สามารถใช้ Punish และ Slash โจมตีโดยตรงได้ด้วย อย่างที่สองคือ การลดพลังโจมตีของ Norvald's Fervor ลงถึงครึ่งหนึ่ง จึงทำให้การพึ่งพาแค่ Bombardment - Barrels of Spikes + Steed Charge ไม่เพียงพออีกต่อไป Thornsader ต้องใช้งาน Punish และ Slash เพิ่มขึ้นด้วย การเล่น Thornsader ที่ใช้ Thorns of the Invoker จึงเปลี่ยนไปพอสมควร อยากเชี่ยวชาญก็คงต้องฝึกการเล่นใหม่

            แต่สายที่โดนปรับแล้วเจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้น Mystic Ally โดยเฉพาะ Fire Ally ที่เรียกว่าเสียหลักกันเลยทีเดียวเพราะถึงขั้นตัดความสามารถสำคัญอย่าง "Fire Ally พลังโจมตีแรงขึ้นเทียบเท่าการโจมตี 5 ครั้ง" ออกจากไอเทมที่ต้องใช้อย่าง Bindings of the Lesser Gods แล้วไปเปลี่ยนในส่วนความสามารถเซ็ต Inna's Mantra ใช้ Mystic Ally ของเซ็ตใช้งานง่ายขึ้นแทน การใช้รูนอื่นของ Mystic Ally ก็จะหลากหลายขึ้นด้วยแต่จะไม่ใช่เซ็ตระดับพระเจ้าอีกต่อไป

    [Inna's Mantra]
    • (6) ชิ้น
      • Mystic Ally ทั้งหลายที่ถูกเรียกด้วยความสามารถนี้มีการนับระยะเวลาการทำงานใหม่ทุกครั้งที่ Mystic Ally ทำการโจมตี
    • Bindings of the Lesser Gods:
      • ศัตรูที่โดนโจมตีด้วย Cyclone Strike จะรับความเสียหายจาก Mystic Ally เพิ่มขึ้น 150%-200% เป็นเวลา 5 วินาที


            อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่าด้วยเหตุการปรับสมดุล Bindings of the Lesser Gods ทำให้ Fire Ally ไม่ใช่รูนยืนหนึ่งอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามการปรับแบบนี้แปลว่าต้องให้รูนอื่นใช้งานได้ง่ายเช่นกัน ส่วนของทักษะจึงมีการปรับเฉพาะ Mystic Ally เล็กน้อยเพื่อให้เลือกใช้รูนได้มากขึ้น 
    • Mystic Ally:
      • Fire Ally - ร่างเล็กที่แตกออกมามี Passability* (?)
      • Earth Ally - ร่างหินมีความเร็วเพิ่มขึ้น และจะตามเนฟาเลมเสมอโดยไม่สนจำนวนศัตรูที่อยู่บนจออีกต่อไป นอกจากนี้ร่างหินจะไม่โดนทำให้เชื่องช้าด้วยโล่ห์ชะลอกระสุนอีกต่อไป

            *ด้วยความที่ต้นฉบับเขียนตรงนี้กำกวมมาก จึงไม่เข้าใจว่าจะสื่อความหมายถึงอะไร แต่อย่างไรก็ตามส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังโจมตี น่าจะเกี่ยวข้องกับการใช้งานมากกว่าเพราะฉะนั้นวางใจได้


            วิญญาณของเหล่าวีรชนซึ่งถูกโค่นจากการต่อกรกับเหล่าอสูรชั่วนิรันดร์กำลังเพรียกหาความช่วยเหลือ เหล่าเนฟาเลมผู้ปราดเปรื่องจะยินเสียงกรีดร้องอันมิอาจขัดขืนของผู้วายชนม์ และจะพบตนเองอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายอันทุกข์ระทมของเหล่าผู้ล่วงลับ เหล่าเนฟาเลมจะฟังเสียงกระซิบแห่งการไถ่โทษของวีรชนผู้ล่วงลับและรอดจากฝันร้ายอันกึกก้องได้หรือไม่? หรือพวกเขาจะติดกับและกลายเป็นเนฟาเลมผู้ล่วงลับเฉกเช่นที่แล้วมา? กาลเวลาเท่านั้นที่บอกได้...


            ใน Season 26 นี้ ขอแนะนำ Echoing Nightmare (ฝันร้ายอันกึกก้อง) ทีมพัฒนากล่าวว่านี่เป็นธีมซีซั่นแรกที่แนะนำกิจกรรมใหม่ในเกม (แต่เนฟาเลมอาวุโสจะรู้ว่าก็ไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น) โดยอ้างอิงว่าได้แรงบันดาลใจจากคำกล่าวของ Orek ยามเนฟาเลมเข้าท้าทายในริฟท์ว่า "เคยมีเนฟาเลมหลายคนยืนหยัดเช่นเดียวกับท่าน แต่น้อยนักที่จะผ่านความทรมานเหล่านี้ไปได้" และแน่นอน Echoing Nightmare คือการพาไปดูจุดจบของเหล่าเนฟาเลมผู้ล่วงลับ


            เกร็ดความรู้แถมท้าย Echoing Nightare ที่เนฟาเลมทุกคนจะได้เล่นในซีซั่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกของ Endless Wave Arena ใน Diablo III (!?) ก่อนหน้านี้เคยมีสิ่งที่คล้ายแบบนี้มาก่อน มันคือ "Realm of Trials" ในช่วงแพทช์ 2.1 มีการคิดรูปแบบการวัดค่า Greater Rifts ที่เหมาะสมกับเนฟาเลมแต่ละคนออกมา ซึ่งสุดท้ายกลายเป็น Endless Wave Arena นี้แหละ 

            วิธีการคือ เมื่อจบ Nephalem Rifts จะได้รับ Keystone of Trials มาเพื่อใช้งาน นำมันมาใส่ใน Nephalem Obelisk ที่ทุกคนคุ้นเคย (แต่ด้วยสมัยนั้นยังต้องใช้ Keystone ในการเปิดไม่ว่า Nephalem Rifts หรือ Greater Rifts ทำให้หน้าตาการใช้ Nephalem Obelisk ต่างจากปัจจุบัน) เมื่อเข้ามาแล้วจะมีเวลาเตรียมใจเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นคือห่าฝูงศัตรูจะกรูกันเข้ามาซึ่งคล้ายกับ Echoing Nightmare ช่วงทดสอบสัปดาห์แรกมาก หากอยู่รอดได้ก็จะได้รับ Greater Rift Keystone ที่มีเลขระบุระดับที่วัดได้ตอบแทน แต่ว่าด้วยศัตรูที่เกิดอาจไม่เหมาะสมและยังไม่ใช่ช่วงที่เน้นไอเทมพลังสูงจึงทำให้ค่าที่วัดแกว่งพอสมควร และแล้ว Realm of Trials ก็ถูกนำออกไปในแพทช์ 2.3


            ในการจะเข้า Echoing Nightmare เนฟาเลมทั้งหลายจำเป็นต้องมี Petrified Scream ซึ่งสามารถหาได้จาก Greater Rift Guardians อย่างน้อย 1 อันต่อกลุ่มเพื่อนำไปเปลี่ยนสภาพที่ Kanai's Cube ให้กลายเป็นประตูมิติเพื่อเข้ารับการทดสอบสุดแสนทรหดนี้

            เมื่อเข้าไปแล้วจะมีเวลาเตรียมใจเพียงเล็กน้อยก่อนที่เหล่าอสูรซึ่งอยู่ในฝันร้ายนี้จะถาโถมด้วยทุกสิ่งที่พวกมันมีและท้าทายแบบฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง ไม่ว่าอสูรชั้นล่างทั้งหลายจนถึงพวกที่เก่งกาจ เครื่องจักรนรกที่สามารถเรียกอสูรพลีชีพออกมาได้ต่อเนื่อง ผู้พิทักษ์ริฟท์ก็สามารถถูกเรียกได้ ห่าอุกกาบาตที่ถล่มพื้นที่ทั้งหมด และสุดท้ายเนฟาเลมผู้ล่วงลับก็พร้อมจะโค่นเนฟาเลมผู้ท้าทายเช่นกัน

            ระหว่างกำจัดศัตรูจะมีการวัดระดับเป็น Tier ของเหล่าเนฟาเลมว่าสามารถอดทนได้มากแค่ไหน ยิ่งกำจัดเร็วเท่าไหร่ก็จะได้ค่า Tier สูงขึ้นรวมถึงลดค่า Overwhelmed (การถูกปกคลุม) ที่เป็นจุดตัดสินว่า Echoing Nightmare จะจบเมื่อใด เมื่อไม่สามารถกำจัดศัตรูได้อีกจนค่า Overwhelmed เต็มถือว่าสิ้นสุดการทดสอบของ Echoing Nightmare และมีรางวัลมากมายรออยู่หลังจบศึก

            รางวัลจากการพิชิต Echoing Nightmare นั้นมีมากมายไม่ว่าจะเป็นค่าประสบการณ์ ไอเทมต่าง ๆ แต่เหนืออื่นใดคือพลอยระดับตำนานที่ชื่อ Whisper of Atonement (เสียงกระซิบแห่งการไถ่โทษ) ถึงตัวมันเองจะไม่มีค่าความสามารถพิเศษใด ๆ แต่เลขระดับที่ได้จะเทียบเท่ากับ Tier ที่วัดระดับได้จากการจบ Echoing Nightmare ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในแง่ของการเสริมแกร่งได้ หมายความว่าแม้การท้าทายใน Echoing Nightmare จะมีความเสี่ยงสูงแต่เมื่อผ่านพ้นไปได้เหล่าเนฟาเลมสามารถเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดผ่านรางวัลที่พิชิตมาได้เช่นกัน 

            จากนี้ไปคือคุณสมบัติโดยละเอียดของ Echoing Nightmare ใน Season 26 


        ความรู้พื้นฐานของ Echoing Nightmare
    • การเก็บ Petrified Screams และเข้า Echoing Nightmare สามารถทำได้เฉพาะตัวละครของ Season 26 - The Fall of the Nephalem
    • การเปิด Echoing Nightmare จะใช้ Petrified Scream แค่เพียง 1 ชิ้นต่อกลุ่ม โดยการนำ Petrified Scream ไปเปลี่ยนสภาพที่ Kanai's Cube
    • เช่นเดียวกับการต่อสู่บอส เนฟาเลมทุกคนที่จะเข้าร่วมต้องตอบตกลงเพื่อเข้าร่วม
    • ระหว่างการต่อสู้จะมีการเพิ่มระดับความยากตามเนฟาเลมที่เข้าร่วม ยิ่งกำจัดศัตรูไวมากเท่าไหร่ก็จะเพิ่มระดับเร็วมากขึ้นเท่านั้น
    • รางวัลจากการพิชิตได้มีตั้งแต่ Exp, Legendary Items, Blood Shards, Gems และ Whisper of Atonement, Legendary Gem ของซีซั่นนี้ซึ่งไม่มีความสามารถใด ๆ แต่มีระดับเทียบเท่าค่าที่วัดครั้งสุดท้ายที่เนฟาเลมผ่าน ใช้เพื่อ Augmentation


        ผู้มีสิทธิเข้าร่วมใน Echoing Nightmare 
    • เนฟาเลมที่มีเลเวลพื้นฐาน 70 (หมดสิทธิใช้ Power Leveling แล้วเพราะจำกัดเลเวล) 
    • ต้องมี Petrified Scream ซึ่งสามารถหาได้จาก Greater Rift Guardians 
    • ต้องการ Petrified Scream ในการเปิดประตูมิติ 1 ชิ้น 
    • หากต้องการเข้าร่วมเป็นกลุ่มให้ใช้ Petrified Scream แค่ 1 ชิ้นในการเปิดประตูมิติ
    • เช่นเดียวกับการต่อสู้บอส เนฟาเลมทุกคนที่จะร่วมต้องตอบตกลงเพื่อเข้าร่วม


        สิ่งที่ต้องเผชิญใน Echoing Nightmare
    • ศัตรูตั้งแต่ Common (ชื่อขาว) ถึง Rare (ชื่อทอง) 
    • Hellish Machinations ที่ปล่อย Exploding Lunatics (อสูรระเบิดพลีชีพ) ธาตุกายภาพ แทบไม่ให้หยุดพักแม้แต่นิด
    • Rift Guardians สามารถเกิดขึ้นได้
    • Shadow Clones สามารถเกิดขึ้นได้ (และระเบิดเมื่อตายด้วย เพราะฉะนั้นจงระวัง) 
    • ห่าฝนอุกกาบาตที่ตกลงมาเรื่อย ๆ ธาตุกายภาพ 
    • อัตราการเกิดของศัตรูคือถี่มาก 
    • ศัตรูไม่ตกทอง ไอเทม หรือลูกแก้วเลือดอีก 
    • ศัตรูจะไม่ติดแช่แข็ง มึนงง โดนตรึง หรือผลักถอยออกไปได้ 
    • ระดับพลังศัตรูที่สัดจะเทียบเท่าระดับของ Greater Rifts


        สิ่งสุดท้ายที่จำเป็นต้องรู้คือ Whisper of Atonement 
    • Legendary Gem ชิ้นนี้จะมีแค่ใน Season 26 - The Fall of the Nephalem 
    • ระดับของ Whisper of Atonement ที่ได้รับจะมีระดับเทียบเท่าค่าที่วัดครั้งสุดท้ายที่เนฟาเลมผ่านได้ เช่น สามารถผ่านระดับ 108 จนขึ้นไป 112 ได้ แต่หลังจากนั้นไม่สามารถผ่านได้จน Overwhelmed ระดับที่ได้จะเป็น 108 (สูงสุดสามารถเพิ่มระดับได้ถึง 125
    • Whisper of Atonement ไม่มีความสามารถใด ๆ แต่ด้วยระดับที่มีสามารถนำไป Augmentation เพื่อเสริมความแข็งแกร่งไอเทมได้เช่นเดียวกับ Legendary Gems ปกติที่หาได้จาก Greater Rifts 
    • ใช้เป็นทริกในการทำรางวัลพิชิตชัยได้ด้วยการสะสมระดับ 65+ ให้ถึง 3 เม็ดแล้วไปอัพเกรดต่อใน Greater Rifts ทำให้สามารถจบได้รวดเร็วมาก (แน่นอนว่าการเก็บ Season Achievements ก็ใช้วิธีนี้ได้เช่นเดียวกัน) เรียกว่าแทบจะทำทุกอย่างให้ง่ายดาย

            ทั้งหมดนั่นคือข้อมูลของ Echoing Nightmare ที่ทุกคนจะได้เล่นกันใน Season 26 - The Fall of the Nephalem แน่นอนว่าการมีอยู่ของมันจะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการอัพเกรด Legendary Gems เพื่อการ Augmentation อย่างมหาศาลและให้เหล่าเนฟาเลมมีสมาธิกับการอัพเกรดใน Greater Rifts เพื่อการใช้งานจริงเป็นหลักมากกว่า แต่ก็เป็นดาบสองคมเช่นกันเพราะมันดีต่อผู้เล่นที่เน้นไต่ตารางจัดอันดับซึ่งต้องเล่นตลอดซีซั่นก็ช่วยลดเวลาอย่างมากและอยู่ยาว แต่หากใครไม่ได้มุ่งหมายจะไต่ตาราง Greater Rifts ก็จะทำให้ระยะเวลาการเล่นซีซั่นสำหรับเนฟาเลมผู้นั้นลดลงอย่างน่าใจหายเช่นกัน



            ของรางวัลประจำ Season 26 ยังคงมีมาเช่นเดิม ทั้ง Haedrig's Gift และการกลับมาของ Cosmetic Rewards ประจำ Season 14 หลังจากจบ 4 บทแรกของ Season Journey ซึ่งขอแนะนำว่าใครยังไม่มีควรหามาไว้ในครอบครองเป็นอย่างยิ่งเพราะถ้าผ่านรอบนี้ไปอีกก็ไม่มีอะไรประกันแล้วว่ามันจะกลับมา

        หลังจบ 4 บทแรกของ Season Journey คุณจะได้รับเซ็ตไอเทมประจำคลาสดังต่อไปนี้

    • Inna's Mantra (Monk)
    • Embodiment of the Marauder (Demon Hunter)
    • The Legacy of Raekor (Barbarian)
    • Delsere's Magnum Opus (Wizard) 
    • Armor of Akkhan (Crusader)
    • Zunimassa's Haunt (Witch Doctor) 
    • Pestilence Master's Shroud (Necromancer)
            Cosmetics ดั้งเดิมจะมีชุดจำแลงเซ็ต Conqueror ซึ่งแน่นอนว่าแจก 2 ส่วนเช่นเดิมกับกรอบภาพประจำตัวและสัตว์เลี้ยงจาก Season 14

    • รูปลักษณ์จำแลง Conqueror's Legguards (ขา) และ Conqueror's Sabatons (เท้า) 
    • Tal Rasha Portrait Frame Set  หลังจากจบ Season Journey 4 บทแรก เป็นต้นไป
    • ธงชาย Tyrael's Justice หลังจากจบ Season Journey 4 บทแรก
        ส่วนรางวัลขั้นสูงสุดจากการจบระดับ Guardian ของ Season Journey มีทั้งหมด 2 อย่างนั่นคือ 

    • Rakkis' Remembrance Portrait Frame กรอบประจำตัวตราหมาป่า Rakkis ของ Westmarch ค่อนข้างสวยงามและมีความโกธิคอยู่ และถ้าจำไม่ผิด นี่คือครั้งแรกที่กรอบประจำตัวเป็นหน้าตัดทรง 8 เหลี่ยม ใครชอบแบบนี้ก็ถือว่าน่าสนใจมาก
    • Toothsome Trooper Pet สัตว์เลี้ยงปีศาจ "แสนอร่อย" สัตว์เลี้ยงใหม่ที่แอบคิดว่าไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วเรอะ... แต่เท่าที่ดูความคิดเห็นก็มีชอบความมุ้งมิ้งแบบนี้หลายคนอยู่ อืม...
        อย่างน้อยที่สุด สำหรับเนฟาเลมหน้าใหม่แนะนำให้อย่างน้อยเก็บ 4 บทแรกของ Season Journey ให้หมดเพราะของน่าสะสมจริง ส่วนระดับ Guardian ถ้าเก็บได้ก็เก็บ เพราะเดี๋ยวนี้การไต่ระดับไป Greater Rift 75 หรือลุยบน Torment XVI ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว


            Season 26 นี่น่าจะเป็นหนึ่งในซีซั่นที่ Conquests ง่ายที่สุดตลอดกาลแล้ว Avarice & Avaritia ก็มีทางเลือกให้ทำหลักถึง 2 ทาง Speed Demon & Need for Speed ที่เล่นสายสปีดรันก็น่าจะได้มาอย่างง่ายดาย On A Good Day & I Can't Stop ที่ใช้ทริกเก็บ Whisper of Atonement 3 เม็ดแล้วลง Greater Rifts เพื่ออัพต่อก็ย่อมใช้ได้ Divinity & Lionhearted ที่ส่วนใหญ่ยังไงก็ทำกันอยู่แล้วเพื่อเปิด Torment XVI จะมีเพียง Years of War & Dynasty ที่ต้องใช้ตัวละครเพิ่มเพื่อเซ็ตที่ 6 ซึ่งจำเป็นสำหรับรางวัลพิชิตชัยนี้ 

    • Avarice (Seasonal) & Avaritia (Hardcore Seasonal) 
      • เก็บทองต่อเนื่องจนถึง 50,000,000 ณ ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่ The Vault และ The Inner Sanctum
    • Speed Demon (Seasonal) & Need for Speed (Hardcore Seasonal)
      • พิชิต Nephalem Rift ณ เลเวลสูงสุดบนระดับความยาก Torment X หรือสูงกว่าในเวลา 2 นาที (นับถึงปิดริฟท์)
    • On A Good Day (Seasonal) & I Can't Stop (Hardcore Seasonal) 
      • อัพเกรด Legendary Gems ให้ถึงระดับ 65 เป็นจำนวน 3 เม็ด
    • Divinity (Seasonal) & Lionhearted (Hardcore Seasonal) 
      • พิชิต Greater Rift ระดับ 75 เดี่ยว
    • Years of War (Seasonal) & Dynasty (Hardcore Seasonal) 
      • พิชิต Greater Rift ระดับ 55 เดี่ยว ด้วยความสามารถของเซ็ตที่กำหนดแบบโบนัสเต็มสมรรถนะ 6 เซ็ต


            ในที่สุดก็กลับมาสู่สถานะปกติของเกมอีกครั้งและเรายังเห็นความพยายามในการปรับสมดุลและระบบเกมเพิ่มเติมอยู่ (ถึงจะเป็นการนำของเก่ามาดัดแปลงใหม่ก็เถอะ) ทำให้เหล่าเนฟาเลมมั่นใจได้อย่างหนึ่งคือ Blizzard ไม่คิดจะทิ้งเกมนี้แน่นอน (อย่างน้อยก็จนกว่า Diablo IV จะออก) แต่ภายภาคหน้าจะมีธีมแบบไหนอีกนั้นก็เริ่มน่าคิดแล้ว เพราะคงไม่มีใครปลื้มหากนำของเก่ากลับมาใช้ใหม่หลายรอบ นี่คือหนึ่งสิ่งที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด

            อีกสิ่งที่อยากพูดถึงคือ เหมือน Blizzard เลิกฝืนแล้ว เพราะถึงวางความสามารถไอเทมออกมาให้ใช้ครอบจักรวาล แต่ที่แล้วมาไม่ว่า Spirit of Arachyr, Embodiment of the Marauder หรือ The Legacy of Raekor แม้จะกางเซ็ตให้ใช้แบบครอบจักรวาล แต่ทุกคนที่เล่นก็ไปลงกับสายหลักอยู่ดี การออกแบบใหม่ในช่วงระยะหลังจึงไปผูกกับทักษะใดทักษะหนึ่งซะมากกว่า แน่นอนว่าขาดความหลากหลายแต่ก็ไปสุดทางของมัน ก็ต้องรอดูว่าเซ็ตหน้าที่จะโดนออกแบบคือเซ็ตอะไร แต่มันต้องมีอย่างแน่นอน


        สำหรับกำหนดการมาของ Season 26 - The Fall of the Nephalem เป็นไปตามนี้ครับ
    • The Americas*: วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2022 เวลา 07:00 น.
    • Asia: วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2022 เวลา 15:00 น.
    • Europe*: วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2022 เวลา 22:00 น.
        เวลาทั้งหมดปรับโซนเวลาเป็นเวลาตามพื้นที่ประเทศไทยแล้ว
        สำหรับเครื่องคอนโซลในประเทศไทยจะถูกจัดและยึดเวลาตาม The Americas 

        * เวลาอาจมีการคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ขึ้นกับโซนเวลาแต่ละพื้นที่ 
           โซนเวลาที่ใช้คือ PST (The Americas) และ CEST (Europe) ซึ่งปรับตามพื้นที่จริงในขณะนี้ 

    ความคิดเห็น

    บทความที่ได้รับความนิยม