[Review] [Overwatch] Closed Beta


     สวัสดีครับ ไม่เจอกันมาพักหนึ่งเลย สารภาพกันตรงๆเลยว่า ติดเกมหนักมาก... ไม่ใช่เกมอื่นไกล คือเกมที่กำลังจะรีวิวมาให้อ่านกันนี่แหละครับ กับ
Overwatch Closed Beta จากค่าย Blizzard Entertainment
     ต้องขออภัยในความล่าช้า เนื่องมาจาก พอจบ Overwatch Closed Beta ปุ๊บ Diablo III 2.4.1 ก็มาเสียบต่อแบบไม่ทันตั้งตัวเลยจริงๆ ตอนนี้หลายคนที่ได้ Pre-Order กำลังเมามันอยู่กับ Open Beta Early Access ยังเหลือทีม Onlywatch อยู่เป็นหย่อมๆ ไม่เป็นไร มาดูรีวิวนี้กันไปก่อน เผื่อเตรียมความพร้อมให้ทันก่อนจะเปิด Open Beta แบบเต็มตัวกัน


     มาว่ากันด้วย Game Performance ก่อน เครื่องใครจะอยู่ เครื่องใครจะไป 
มาดูความต้องการของเครื่องกัน


     แม้จะเป็น FPS แต่ก็ไม่ได้กินทรัพยากรหนักหน่วงอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะการออกแบบของเกมที่มีสไตล์อนิเมชั่น ไม่ได้ยัดเยียดความเรียลลิสติกแบบ FPS ส่วนใหญ่ จึงทำให้เกมไม่ต้องใช้สเป็คสูงมากก็เล่นได้ อย่างเครื่องของผมปรับกราฟฟิคให้เป็น Epic ก็ยังสบายอยู่ (เครื่อง PC ซื้อมาเมื่อ 2 ปีก่อน)
     ประเด็นอยู่ที่ว่า ถ้าต้องการเก็บภาพให้ถึงขั้นเนียนกริบไร้ริ้วรอยต่อ ก็ต้องปรับในส่วน Advance อย่างเช่น Anti-Alias ซึ่งจะใช้สเป็คที่สูงขึ้นแน่นอน ใครอยากจัดภาพแบบเนียนกริบอาจจะต้องอัพเกรดเครื่องกันนิดนึง


     เข้าเนื้อหาจริงๆละ Overwatch เป็นเกม Multiplayer แนว Team-Based FPS ที่มีกลิ่นอาย MOBA ชัดเจนมาก โดยจะมีในเรื่องทักษะของฮีโร่แต่ละคน ตลอดจนมีกระทั่ง Ultimate Skill และเพราะแต่ละทักษะมีจังหวะและการใช้แตกต่างกัน ทำให้กลิ่น MOBA โดดเด่นขึ้น ในแต่ละแมตช์จะแข่งกันแบบ 6v6 และช่วงชิงภารกิจกัน



     ณ ปัจจุบัน มีภารกิจทั้งหมด 4 แบบ และจะผูกกับแผนที่
  • Escort คือการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิง Payload ในภารกิจ ตัดสินว่า Payload นั้นจะไปถึง ณ จุดหมายที่กำหนดหรือไม่
  • Capture เรียกได้ว่าเป็นภารกิจสุดคลาสสิค คือการบุกยึดพื้นที่
  • Hybrid คือลูกผสมของภารกิจสองแบบ ในตอนแรกจะบุกยึด Capture เพื่อให้ Payload ทำงาน จากนั้น Escort นำ Payload ไปให้ถึงสถานที่ที่กำหนดไว้
  • Control ถูกเพิ่มมาใน Closed Beta 2nd Round คือการที่ทั้งสองทีมเข้ายึดพื้นที่ แต่มันไม่จบแค่นั้น ยังจำเป็นต้องรักษาพื้นที่ไม่ให้ศัตรูยึดกลับจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด
     โดยจุดตัดสินคือ ไม่ว่าใครจะเป็น Attack หรือ Defend ใครทำภารกิจสำเร็จก่อนก็ชนะ

     และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ Level Design ที่สร้างสรรค์และบางทีถึงกับเอื้อประโยชน์ให้กับฮีโร่บางคนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางลับหรืออาศัยมุมอับสายตาในการจัดการตอดผู้เล่นฝั่งตรงข้าม ถือว่าทำออกมาทีเดียว





ฮีโร่คนไหนที่เหมาะกับคุณ เลือก!

     นอกเหนือจากภารกิจแล้ว เรามาว่าสิ่งสำคัญถัดไป (ซึ่งสำคัญมากๆ) นั่นคือ ฮีโร่ทั้ง 21 คน (หรือจะเรียกว่า 20 คน + 1 ตัวดี lol) ฮีโร่ของเกมนี้ทั้งหมดล้วนมีบทบาทในทีมและทักษะที่แตกต่าง
แบ่งบทบาทเป็น Offense, Defense, Tank และ Support การจัดทีมจึงสำคัญมากเป็นลำดับต้น
ในภารกิจ หากขาดตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไปนี่ บางแมตช์ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
(นึกสภาพเล่น Defend แต่ในทีมหยิบ Offense 5 คน โดนบังคับเป็น Support ขณะที่อีกฝั่งมาเต็ม...)

ถ้าจะเล่นแบบไม่แคร์บทบาทในทีม ก็ย่อมได้ แต่ต้องแน่ใจว่าเก๋าพอนะ (ไม่งั้นเละ บอกเลย)

     อีกอย่างที่สำคัญ นอกเหนือจากความสามารถที่แตกต่างกันไปแล้ว คือ "การแพ้ทาง"
ฮีโร่แต่ละคนจะมีจุดที่แพ้ทางแตกต่างกันไป การหยิบจับฮีโร่ในเกมที่มีทักษะที่สามารถแก้ทางได้ถือว่าสำคัญมาก จึงมีการอนุญาตให้สับเปลี่ยนฮีโร่ในจุดเกิดได้ตลอดเวลาเพื่อสามารถนำฮีโร่คนใหม่มาแก้สถานการณ์ในเวลานั้นได้





     ส่วนที่ละเลยไม่ได้ คือ Ultimate Skill แต่ละคนที่มีเอกลักษณ์ค่อนข้างมาก การใช้งานแก้สถานการณ์ต่างกัน รวมไปถึงการแก้ทางด้วย และถ้าหากใช้ให้ถูกทาง จะเกิดผลลัพธ์มหาศาลระดับพลิกเกมได้เลย


     ในที่สุดก็ได้พูดถึงส่วนนี้ อย่างที่กล่าวตอนแรกว่าเกมนี้รองรับเทคโนโลยี Dolby Atmos ทำให้สามารถฟังเสียงได้รอบทิศทางชัดเจน ช่วยในการเล่นอย่างมหาศาลมาก เพราะทีมพัฒนาได้ออกแบบตัวละครมาให้สร้างสรรค์มาก นั่นรวมไปถึงเอกลักษณ์ของเสียง ทั้งเสียงฝีเท้าและเสียงพากย์การใช้ทักษะ การใช้ทักษะจะมีเสียงตามมาเสมอ เสียงไม่ใช่แค่ระบุทิศทำให้เสียงเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆและช่วยได้มากในการแก้ทาง



ไม่แคล้วกลุ่มเจอกลุ่ม...

     Matchmaking ใน Closed Beta ยังไม่อาจสรุปได้มากนัก แต่ที่แน่ๆเมื่อเริ่มแมตช์แล้ว เกมมักจะจับให้คนที่มีกลุ่ม (Party) ในปริมาณที่เท่ากันหรือใกล้เคียงเจอกัน และหากแพ้หรือชนะต่อเนื่อง ก็จะมีการปรับสมดุลหาผู้เล่นที่เหมาะสมใหม่ ซึ่งถือว่าค่อนข้างโอเค คงต้องรอดู Open Beta กับตอน Launch อีกทีว่าจะจัดทีมให้ได้ดีแค่ไหน

     อ้อ ที่สำคัญที่สุด จำนวนผู้เล่นในแมตช์นั้นมีผลต่อความแลคในการเล่นด้วย เพราะหากมีผู้เล่นจากพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งมากกว่า 6 คนขึ้นไป เกมจะทำการจับไปเซิฟเวอร์ที่ใกล้เคียงกับผู้เล่นส่วนใหญ่ในแมตช์นั้น ซึ่งหากรวมกลุ่มเต็มถือว่ามีโอกาส 50% ที่จะได้เซิฟเวอร์ที่ดีและเล่นลื่นครับ



     หลังจากนี้จะเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Closed Beta 2nd Round อย่างแรกคือ Player Progression
เพราะหากเกมไม่สามารถมอบรางวัลให้กับผู้เล่นแล้ว คงยากที่จะพูดถึงกันในระยะยาว
คอนเทนต์นี้เป็นสิ่งแรกที่จะมาช่วยในส่วนนั้น นั่นคือการเพิ่ม Level นั่นเอง!


ดันให้เลเวลอัพ

     คอนเทนต์นี้จะให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนกับก้าวหน้าในการเล่นมากขึ้น (แน่นอนว่ามันก็แค่เลเวล เกมนี้วัดกันจริงๆที่ฝีมือและทีมเวิร์ค) และมอบรางวัลตอบกลับกับการเล่น (ที่จะได้ช้าหรือเร็วขึ้นกับวงเล็บที่แล้ว) นั่นคือ Lootbox!


ปิ๊งป่อง!


     ภายใน Lootbox เองก็จะมีไอเทมสำหรับตกแต่งฮีโร่ ทั้ง GoldVoice Line, Spray, Emote, Victory Pose, Skin และ ที่ปราถนากันมากถึงมากที่สุดคือ Legendary Skins ทั้งหลาย โดยแต่ละกล่องจะมอบให้ 4 ชิ้นแบบสุ่ม เพราะฉะนั้น วัดใจกันไป

     แต่ถ้าหากว่าของซ้ำละ? เกมจะทำการขายของชิ้นนั้นให้อัตโนมัติในอัตรา 1/5 ของราคา 
(โคตรกดราคา บอกเลย) 

     เพื่อให้ผู้เล่นสามารถนำไปซื้อไอเทมที่ต้องการได้จาก Hero Gallery ตามที่ต้องการ


ซื้อเองก็ได้ ไม่แคร์ Gold พอซะอย่าง


อยากให้ Soldier: 76 เท่ก็จัดไป

     นอกจากนี้ หากเลเวลถึงจุดที่กำหนด ก็จะได้รับ Portrait Frame สำหรับผู้เล่นอีกด้วย


     อย่างที่บอกหากเวลาในการเล่นกับเลเวลสัมพันธ์กันคงไม่แปลก แต่ถ้าหากไม่เป็นอย่างนั้น... 


     จากซ้ายไปขวา คือ เลเวล 361, 524 และ 688 /...แทบจะกราบกรานพวกเหนือมนุษย์ 

     สรุปก็คือ Level Progression สามารถบอกรายละเอียดโดยนัยเกี่ยวกับผู้เล่นและยังให้รางวัลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้ออีกด้วย



ดูแต่ละ Brawl... นี่แค่น้ำจิ้ม



รายละเอียด Brawl ที่อ่านแล้วก็...

     น่าจะเรียกได้ว่าเป็น Game Mode ที่นำรูปแบบจาก Hearthstone มาใช้จริงจังเลยทีเดียว มันจะเหมือน Quick Play ที่ไม่ซีเรียสเรื่องการแข่งขันเท่าไหร่ แต่เหมือนจะทำออกมาขำๆ เพราะนี่คือโหมดที่ขำที่สุดในเกม โดยโหมดนี้จะมอบ "เงื่อนไข" ในการเล่นสารพัดรูปแบบสับเปลี่ยนทุกสัปดาห์ มีตั้งแต่ เอาสองพี่น้อง Shimada มาตบกัน, พลังหญิงมาไฟต์กัน, แม้กระทั่ง High Noon กันถ้วนหน้าเพราะบังคับ McCree ล้วน ก็ยังมี 



     ถ้าจะจริงจังเกมมิ่งก็ต้องมาส่วนนี้ มันคือ Rank Play ดีๆนี่เอง แนะนำว่ามากันเป็นทีมเลย เพราะมันคือการแข่งขัน โดยจะมีเป็นรอบ Seasons กันไป ในอนาคตน่าจะมีรางวัลพิเศษสำหรับคนที่มี Rank ถึงด้วย เท่าที่ได้ยินคร่าวๆก็มีลุ้น Skins หรือ Portrait Frame อยู่
แต่เราจะไม่พูดถึงส่วนนั้นก่อน เพราะใน Closed Beta ยังทดลองแค่ Pre-Season เท่านั้น ไม่มีรางวัลใดๆแจกเลย ต้องรอดูเกมไปเรื่อยๆ

     รายละเอียดของ Competitive คือการแข่งขันแบบแผนที่เดียวจบ โดยจะแบ่งการตัดสินขึ้นอยู่กับภารกิจประจำแผนที่
  • ภารกิจ Escort, Capture, Hybrid จะแข่งแบบ Mirror Match คือได้เล่นทั้ง Attack และ Defend หากชนะได้ทั้งสองรอบก็ถือว่าจบ แต่หากชนะไปคนละรอบ ก็จะต่อ Sudden Death โดยจะใช้ภารกิจ Control แบบควบคุมครบจุดเดียวจบ
  • ภารกิจ Control ต้องควบคุมชนะให้ได้ 3 ใน 5 จึงจะถือว่าชนะ



     เมื่อจบแล้ว ก็จะมีการคำนวณการเล่นและให้คะแนนเพื่อยก Rank ของเราให้สูงขึ้นต่อไป การคิดคะแนนถือว่าค่อนข้างโอเค ในแมตช์ทั่วไป จะชนะหรือแพ้ คะแนนก็เพิ่มหรือหักลบเท่ากัน เว้นแต่ถ้าแมตช์นั้นเล่นดีมากในกรณีที่ชนะก็จะเพิ่มเป็นพิเศษ



     อย่างไรก็ตาม นี่คือ Team-Based FPS ที่จำกัดคนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเกมอื่น ทำให้ไม่ว่าคุณจะเล่นโหมดไหน ภารกิจอะไร หยิบจับฮีโร่คนไหนมาเริ่มเกมหรือแก้ทาง ทีมเวิร์คสำคัญที่สุด การมีเพื่อนที่เข้าขากัน ประกอบกับมีการสื่อสารในเวลาเล่น จะช่วยขยายความเป็นไปได้ในชัยชนะและความสนุกในการเล่นเยอะเลยทีเดียว อย่าลืมว่าเหนือสิ่งอื่นใดคือ คุณจะต้องทำภารกิจร่วมกัน เรียกได้ว่า รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย เพราะฉะนั้น แนะนำให้ตั้งทีมดีสุด


     มันเป็นแนวเกมที่ไม่คิดว่า Blizzard จะทำ และบอกได้เลยว่าทำออกมาได้ดีซะด้วย แม้จะมีปัญหาอยู่บ้างอย่างรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น เรื่อง Headhitbox ที่บางทีก็ไม่สมเหตุสมผล หรือการปรับสมดุลที่มีประปราย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เกมนี้ลดความน่าเล่นลงไปเลย หากว่าลองได้สัมผัส... ไม่รู้สิ อาจจะทำให้ลืมเกมอื่นยาวๆแบบผมเลยก็ได้
     ตอนนี้ก็แทบจะเทคะแนนให้หมดหน้าตักอยู่แล้ว เหลือรอดูเกมออกเท่านั้นแหละ ว่าจะสมศักดิ์ศรีซีรี่ย์ใหม่ในรอบ 17 ปี ของ Blizzard หรือไม่ แต่ผมเชื่ออย่างมาก ว่า Blizzard ทำได้แน่นอน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม