[Flashback Review] [Diablo]


รีวิวนี้อ้างอิงจาก
Diablo V1.00

     สวัสดีครับ ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้งกับ Crucifer's Game Review แต่มีสิ่งที่พิเศษขึ้นมานิดนึง นั่นคือ นับแต่นี้จะมีรีวิวแบบพิเศษเรียกว่า Flashback Review นั่นเอง

     สำหรับผม Flashback Review ก็คือการรีวิวย้อนหลังไปยังภาคเก่าเพื่อให้เห็นการพัฒนาของเกม โดยจะมีพูดถึงสิ่งที่แตกต่างออกไป และทำไมถึงควรจะรีวิวเพิ่มเติมเข้ามาให้เห็นคุณค่าของเกมภาคก่อนๆเพื่อบรรดาผู้เล่นจะได้เข้าใจและติดตามกันอย่างต่อเนื่อง

     เนื่องจากครั้งนี้จะเป็นการ Flashback Review ครั้งแรก ต้องเป็นเกมอื่นไปไม่ได้นอกจาก Diablo แน่นอน คราวนี้เราจะมาติดตามดูเกม Diablo ภาคแรกที่เริ่มต้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วกันว่า เพราะอะไรเกมที่หลายสำนักเทคะแนนให้จนถล่มทลายจึงสมควรนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง



     เมื่อ 20 ปีก่อน Blizzard ได้ปล่อยเกมออกมาเกมหนึ่งที่นับว่าฉีกความเป็น RPG ที่ยุคนั้นที่นิยม Turn-base RPG กลายมาเป็น Action RPG Hack & Slash แล้วดังพลุแตก เกมนั้นคือ Diablo นั่นเอง
หลายสำนักเทคะแนนให้จนหายากที่จะโค่นแชมป์ แม้แต่สำนักเขี้ยวลากดินอย่าง Gamespot ยังให้ Diablo ไป 9.6 คะแนน รักษาตำแหน่งแชมป์เกม PC ที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 18 ปี 5 เดือน (ก่อนจะถูก The Witcher 3: Wild Hunt โค่นลงเมื่อกลางปีที่แล้ว)

     ส่วนตัวผมเองเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้กลับมาจับเกมนี้ มันยังมีมนต์ขลังอยู่... เรื่องราวจะเริ่มต้นขึ้นด้วยความหายนะของอาณาจักร Kanduras เมื่อกษัตริย์ Leoric ที่ครั้งหนึ่งเคยปกครองด้วยความสงบสุข เริ่มค่อยๆบ้าคลั่งอย่างไร้สาเหตุ ทั้งก่อสงครามกับอาณาจักรอื่นอย่าง Westmarch ทั้งล่าล้างชาวบ้านที่โดนตั้งข้อหาว่าก่อกบฐ ตลอดจนทวีความคุ้มคลั่งเมื่อโอรสของพระองค์ เจ้าชาย Albrecht หายตัวไป แม้แต่ Archbishop Lazarus และองครักษ์คนสนิทอย่าง Lachdanan ยังไม่สามารถช่วยอะไรได้ หลังจากนั้นก็มีข่าวลือเรื่องราวของเจ้าชายถูกลักพาตัวไปอยู่ใต้อารามเก่าประจำเมืองและเริ่มมีอสูรกายออกมาจากที่นั่น

     นั่นคือปฐมบทของ Diablo




     เกมเพลย์ของภาคแรกนี่ นับว่ามีความ Old School สุดๆ จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าหลายอย่างยังไม่พัฒนาทั้งการเคลื่อนไหวของตัวละคร รูปแบบการเล่น แต่ตรงกันข้ามก็มีความหลากหลายพอสมควรเช่นกัน



     ในเกมภาคแรกนั้นจะมีข้อจำกัดอยู่หลายเรื่อง ทั้งการเคลื่อนไหวที่มีแต่การเดิน การเคลื่อนที่แบบ 8 ทิศทางที่ยังตะกุกตะกัก อินเตอร์เฟสร้านค้าที่ไม่เป็นมิตร ช่องสัมภาระที่สุดแสนจะจำกัด แถมไม่มีหีบเก็บของอีกต่างหาก ซ้ำด้วยต้องเก็บทองรวมกับช่องสัมภาระ แต่ละช่องก็เก็บได้แค่ 5,000 Gold เองด้วย เรียกได้ว่าถ้าเทียบกับสมัยนี้นี่ลำบากสุดๆกันไปเลย แต่ก็ถือเป็นเสน่ห์ของความ Old School อีกด้วย

     คลาสในเกมแม้มีแค่ 3 คลาส แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะ Warrior, Rogue, Sorcerer มีความยากง่ายในการเล่นแตกต่างไปตามแต่ละตัวละคร เช่น Warrior ช่วงแรกจะเล่นง่ายมากด้วยความที่เลือดและเกราะเยอะที่สุดแต่จะอ่วมเอาช่วงหลังเมื่อเจอศัตรูยิงระยะไกล หรือ Sorcerer ที่ช่วงแรกกว่าจะตั้งตัวติดก็ย่ำแย่อยู่ แต่พอเริ่มดีขึ้นเท่านั้นแหละจะมีศัตรูยิงไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น และความแตกต่างเหล่านี้จะทวีชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อเข้าสู่ระดับความยากที่สูงขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะ Nightmare หรือ Hell นอกจากนี้ยังมีทักษะประจำตัวเพื่อช่วยเหลือในการเล่นอีกด้วย



     แต่ในขณะเดียวกัน ในความเป็น RPG เกมกลับมอบอิสระในการพัฒนาตัวละครให้มากมายจริงๆ ทั้งการที่จะใส่อุปกรณ์อะไรก็ได้หรือจะเรียนเวทย์อะไรก็ได้ ขอแค่มีตำราที่ต้องใช้กับ Core Stats ถึงขั้นต่ำที่กำหนดก็พอ ซึ่งก็สามารถซื้อ Elixir มาเพิ่มได้อีกตามใจชอบในช่วงหลังของเกม เรียกได้ว่าอยากทำอะไรก็ทำไปเลย ซึ่งดูแล้วอาจจะไม่อิสระเท่า Diablo III แต่ก็ยังมีอิสระในการทำทุกอย่างอยู่ดี ถือว่าเป็นสิ่งใหม่พอสมควรในยุคนั้นเลย


     ค่าพลังต่างๆในเกมแม้จะไม่เลขเยอะเว่อร์วังอลังการ แต่ก็สามารถเล่นสนุกได้เพราะยิ่งระดับความยากสูงขึ้น จะเพิ่มเงื่อนไขในการปราบมากขึ้น ไม่ว่าจะ Immune หรือ Resist ซึ่งหากใช้ไอเทมหรือทักษะไม่ถูกต้อง อาจเกิดผลร้ายมหาศาลเลยก็ว่าได้

     และที่สำคัญกับความเป็น Old School นี่แหละ จึงมีระบบการเซฟเกมแบบเก่าด้วย (ซึ่งก็คงต้องบอกว่าเก่าสุดๆ เพราะจะไม่มีการตั้งหรือเลือกไฟล์แต่อย่างใด เป็นการบันทึกแบบ 1 เซฟ/1ตัวละคร) แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้เยอะหากมีการพลาดพลั้งเกิดขึ้น ผู้เล่นที่นิยมขยันเซฟแบบ Old School จะเล่นปลอดภัยกว่า ส่วนใครที่ไม่ได้ขยันเซฟ บอกได้เลยว่าถ้าตาย ของตกหมดตัว เลือกเอาว่าจะเสี่ยงไปตายอีกเพื่อเก็บของหรือจะโหลดเซฟจากแต่ไกลแล้วต้องเล่นให้ถึงจุดนั้นใหม่


     นอกจากนี้ยังมีระบบ Gambling ที่หลายคนน่าจะชอบมากที่สุดในเกม เพราะถึงแม้จะมาทีละ 1 ชิ้น แต่เสียค่าดูของแค่ 50 Gold ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อได้

     ยังมีส่วนที่ไม่ได้พูดถึงอยู่นั่นคือ Multiplayer ซึ่งจะทวีความยากขึ้นมาอีกมากมายและให้ผู้เล่นอื่นได้เล่นร่วมกันด้วย แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ไม่ได้เล่นในส่วนนี้ไป


     อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกกับเรื่องราวการหายตัวไปของเจ้าชาย Albrecht เนื้อเรื่องของเกมจึงเป็นการดำดิ่งลึกเข้าไปในอาราม ฝ่าเหล่าอสูรกายที่หยิบยื่นความตายให้เพื่อหาทางช่วยเจ้าชายและจัดการปีศาจภายใน คืนความสงบให้แก่ Tristram



     เกมจะมอบดันเจี้ยนที่มีความลึก 16 ชั้นหลัก แบ่งเป็น 4 ส่วนด้วยกัน นั่นคือ Cathedral, Catacomb, Cave และ Hell แต่ละชั้นจะมีการออกแบบที่แตกต่างชัดเจน



     (และชั้นแรกของแต่ละส่วนจะมีทางลัดเพื่อกลับเมือง เปรียบเสมือน Waypoints ในภาคถัดไป)




     ภายใน 16 ชั้นนั้นจะมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ ทั้งตำนานของ Sanctuary (โลกของเกม Diablo) ซึ่งเป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดรวมไปถึงภารกิจต่างๆที่ขมวดปมไว้ ตลอดจนการทรยศหักหลังแล้วนำไปสู่จุดจบที่ไม่คิดว่าพล็อตธรรมดาจะกลายเป็นหนึ่งในที่สุดของวงการเกมในยุคนั้น

     อีกสิ่งหนึ่งที่นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ด้วยความที่เกมนี้ไม่ยาวมากนัก (หากนับตามจำนวนชั้นดันเจี้ยน) ประกอบกับเดินเป็นเส้นตรง ทำให้การเล่าเรื่องของเกมนี้ค่อนข้างง่ายมาก มีการเรียงลำดับตาม Tome ที่เจอตามเลขชั้นอย่างเห็นได้ชัด

     แต่ถ้าอยากรู้เนื้อเรื่องอย่างละเอียด ขอไม่เล่าดีกว่าเพราะจะเป็นการสปอยล์ ต้องลองเล่นเอง


     ในด้านเกมเพลย์ คลาสแต่ละคลาสมีความชัดเจนในตัวเอง แม้เพราะความ Old School อาจจะดูยุ่งยากหน่อย แต่เกมก็ให้อิสระในการพัฒนาไว้เยอะจนบางทีก็ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเกมยุคนั้น
     เนื้อเรื่องในช่วงเวลาของเกมแม้เป็นพล็อตธรรมดา แต่เป็นเส้นตรงที่เล่าเรื่องกระชับ ตบท้ายด้วยการหักมุมที่ทำให้เกมเมอร์ต้องมาลุ้นกันต่อไป


Positive
+ กลายเป็นเกม Action RPG Hack & Slash เกมแรก เกมเพลย์ที่ง่าย ดี และสดใหม่มากในยุคนั้น
+ Old School ที่ลำบาก แต่มีเสน่ห์
+ แต่ละคลาสมีเสน่ห์และความยากที่แตกต่างอย่างชัดเจน
+ การพัฒนาตัวละครที่ค่อนข้างอิสระในยุคนั้น
+ การเล่าเนื้อเรื่องในช่วงเวลาของเกมที่ตรง กระชับ
+ ฉากจบหักมุมที่ทำเอาเกมเมอร์ในยุคนั้นตั้งตารอภาคต่ออย่างใจจดใจจ่อ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม